วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

BGC มองแนวโน้มบรรจุภัณฑ์แก้วปี 64 ฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ รับดีมานด์อาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโต ชูเทรนด์หนุนดีมานด์ขยายตัว




บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ “BGC” ประเมินแนวโน้มตลาดบรรจุภัณฑ์คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติในปีนี้ หลังพัฒนาวัคซีนสำเร็จและเริ่มทยอยฉีดในบางประเทศ คาดส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว หนุนความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วเพิ่มขึ้น และยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเทรนด์สำคัญ พร้อมวางมาตรการดูแลพนักงานทุกส่วนในช่วง COVID-19 ระบาดระลอกใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คู่ค้า 

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แก้วในประเทศและภูมิภาคอาเซียนในปี 2564 คาดว่าจะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ได้เป็นผลสำเร็จและในบางประเทศเริ่มทยอยฉีดให้แก่ประชาชนแล้ว จึงคาดว่าสถานการณ์ของโรคระบาดจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นและสามารถกลับมาใช้ชีวิตรวมถึงทำกิจกรรมนอกบ้านได้ตามปกติ ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคจะกลับมาเติบโตได้ดี และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วเพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกันบริษัทมองว่าแนวโน้มสำคัญที่มีผลต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แก้ว ได้แก่ (1) เทรนด์การเลือกใช้สินค้าที่มีคุณภาพดี (Premiumization) โดยผู้บริโภคในประเทศมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น และมีบรรจุภัณฑ์สวยงาม โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มของใช้ส่วนตัวและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้ว ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้ดี (2)เทรนด์การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพ (Health Awareness) โดยเฉพาะการเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากบรรจุภัณฑ์แก้วตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยไร้สิ่งเจือปน (Purity) 

(3) เทรนด์การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (Environmental Friendly) ทำให้เกิดการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แก้วที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ 100% (4) เทรนด์การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แบบใส (Transparency) เนื่องจากบรรจุภัณฑ์แก้วใสมีจุดเด่นในการกระตุ้นและดึงดูดความต้องการอุปโภคบริโภคของสินค้า โดยผู้บริโภคสามารถมองเห็นความสมบูรณ์และความสดใหม่ของสินค้าภายในบรรจุภัณฑ์ ทำให้เกิดความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น 

และ (5) เทรนด์การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ส่งผลให้เกิดการพัฒนาบรรจุภัณฑ์แก้วดีไซน์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองการบรรจุผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้า โดยเทรนด์ทั้ง 5 ข้อดังกล่าว ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนการเติบโตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แก้วทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน 

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วใน 5 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น ปราจีนบุรี และราชบุรี มีเตาหลอมแก้วรวม 11 เตา ด้วยกำลังการผลิตรวมสูงสุด 3,495 ตันต่อวัน โดยในช่วงที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา และการระบาดระลอกใหม่ในปัจจุบัน บริษัทฯ และโรงงานทุกแห่งได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ โดยดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด อาทิ การปรับรูปแบบให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work From Home), การเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีออนไลน์แก่พนักงาน, การใช้มาตรการคัดกรองและมาตรการด้านสุขอนามัยภายในโรงงานทุกแห่งอย่างเข้มงวด ฯลฯ เพื่อความมั่นใจของคู่ค้าและผู้บริโภคในการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์แก้วของบริษัทฯ