วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

STGT ผลงานทุบสถิติใหม่รับดีมานด์ถุงมือยางพุ่ง Q3/63 กำไรสุทธิ 4,401.9 ล้านบาท เติบโตแรง 4,113.6% ตุนแบ็กล็อกยาวถึงปี 2566




บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ทำนิวไฮไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิ 4,401.9 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 4,113.6% และมียอดขาย 8,142.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169.9% รับดีมานด์ถุงมือยางทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องและราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น โชว์แบ็กล็อกในมือยาวถึงปี 2566 พร้อมลงทุนขยายกำลังการผลิตตามแผน มุ่งสู่เป้าหมายกว่า 80,000 ล้านชิ้นต่อปีในปี 2567

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมากว่า 31 ปี โดยมีกำไรสุทธิ 4,401.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,113.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 104.5 ล้านบาท และมีรายได้รวม 8,142.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,016.3 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ถุงมือยางจากที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั่วโลก เนื่องจากในปัจจุบันยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดในรอบที่ 2 และรอบที่ 3 ในบางประเทศ ส่งผลให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เกิดความตื่นตัวด้านสุขอนามัยโดยการสวมใส่ถุงมือยางมากยิ่งขึ้น ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 89.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการในการบริโภคถุงมือยางซึ่งเป็นอุปกรณ์ PPE ขั้นพื้นฐาน ที่ใช้ในทางการแพทย์ ใช้ในชีวิตประจำวัน และใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก 

ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นเดียวกัน โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 5,880.6 ล้านบาท เพิ่มขี้น 1,197.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 453.3 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 16,759.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 8,856.4 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงได้รับคำสั่งซื้อถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินค้าที่รอส่งมอบล่วงหน้า (แบ็กล็อก) ถึงปี 2566 ตลอดจนราคาขายที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการในการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเนื่องต่อผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปีนี้และผลการดำเนินงานปี 2564 ต่อไป ประกอบกับบริษัทฯ มีความพร้อมด้านการผลิตและแหล่งวัตถุดิบที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่เป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายยางพาราอันดับ 1 ของโลก 

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนขยายกำลังการผลิตเร่งขึ้นได้เร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 32,600 ล้านชิ้นต่อปี ตั้งเป้าหมายในปี 2567 จะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 80,000 ล้านชิ้นต่อปี โดยในปี 2564 คาดว่ามีโครงการขยายกำลังการผลิตที่จะทยอยแล้วเสร็จอีก 4 โครงการ จะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มขึ้นอีกกว่า 16,300 ล้านชิ้นต่อปี ได้แก่ การขยายกำลังผลิตที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2 โครงการ และอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาอีก 2 โครงการ และมีแผนงานลงทุนขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องในปี 2565-2566 ที่จังหวัดชุมพรและตรัง

“เรามั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่สามารถทำผลงานได้ดีมากเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนทั่วโลกให้หันมาใส่ใจด้านสุขอนามัยมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นชีวิตวิถีใหม่หรือ New Normal ส่งผลให้ถุงมือยางกลายเป็นสินค้าที่ต้องการจากทั่วโลก และถึงแม้ไม่มีโรคระบาด ภาพรวมความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี จากการใช้งานที่หลากหลายและวิถีชีวิตใหม่ของผู้คน ผลของการขยายกำลังการผลิตและภาวะอุปทานขาดตลาดของถุงมือยางจะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2564 ด้วยเช่นกัน ขณะที่บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินเข้มแข็งอย่างมากหลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ พร้อมรองรับการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพื่อสร้างการเติบโต” นางสาวจริญญา กล่าว