จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด19 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาส่งผลให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีชีวิตแบบปกติใหม่ (New Normal) โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจาก “ออฟไลน์” สู่ “ออนไลน์” มากขึ้น เบสท์ เอ็กซ์เพรส หนึ่งในแบรนด์ผู้ให้บริการ รับ-ส่ง พัสดุด่วนทั่วไทย ไปไหน ไปกัน Everywhere with you จึงมีการปรับแผนการตั้งรับเพื่อรับกระแสการเปลี่ยนแปลงยุค New Normal ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ในประเทศไทย
นายเจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการ เบสท์ ประเทศไทย บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้ให้บริการทางด้านการขนส่งพัสดุเริ่มมีการปรับแผนการตลาดมากขึ้นในช่วงหลังโควิด เพื่อขับเคลื่อนการค้าขายออนไลน์ให้สอดรับกับมูลค่าตลาดธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่โตขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้ตลาดบริษัทขนส่งในไทยมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการคำนวณผลประกอบการของบริษัทขนส่งพัสดุรายใหญ่ประมาณ 22 ราย ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา(2017-2019) พบว่ามูลค่าตลาดของบริษัทขนส่งในไทยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 40 ต่อปี ทำให้การแข่งขันของธุรกิจฯมีความดุเดือดรุนแรงมากขึ้นทุก ๆ ปี จะเห็นได้จากกลยุทธ์การปรับราคาค่าบริการเพื่อดึงดูดลูกค้า รวมถึงเพิ่มการจำแนกแบ่งรายละเอียดในแต่ละกลุ่มสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ประกอบการและผู้บริโภค
“ปัจจุบันบริษัทขนส่งพัสดุด่วนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันตลอดเวลา ข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการสร้างแบรนด์ให้รู้จักในวงกว้างที่ผู้ประกอบการขนส่งพัสดุต่างต้องหาจุดแข็งหรือข้อได้เปรียบมาเป็นตัวชูโรง เปลี่ยนจากการใช้บริการแบบครั้งคราวมาเป็นใช้ประจำ ข้อสองคือเรื่องของความรวดเร็วในการส่งสินค้า เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการส่งด่วน รวดเร็ว จากในอดีตที่ใช้เวลาขนส่งเป็นอาทิตย์หรือยาวนานเป็นเดือน เหลือเพียงแค่ 2-3 วัน หรือส่งภายในวันเดียว ข้อสามคือ กลยุทธ์ด้านราคา แม้หลายคนจะมีแบรนด์ประจำในใจอยู่แล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องคุณภาพการให้บริการและราคาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่มีผลทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้บริการแบรนด์นั้น ๆ ได้” นายเจสัน กล่าว
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในเรื่องของคุณภาพการให้บริการและราคา “เบสท์ เอ็กซ์เพรส (BEST Express)” ก็ไม่หยุดมุ่งพัฒนาการให้บริการและพร้อมปรับตัวรับกระแสการเปลี่ยนแปลงยุค New Normal ด้วยการเน้นย้ำถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2563 โดยในระยะสั้น “เบสท์ เอ็กซ์เพรส (BEST Express)” จะมุ่งขยายฐานการตลาดท้องถิ่น (Local Market) ในวงกว้างและครอบคลุมทั่วไทย เพื่อให้แฟรนไชส์ในแต่ละจังหวัดได้เข้าถึงการทำการตลาดในท้องถิ่นของตนเองมากขึ้นอ้างอิงถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงยุค New Normal จาก ออฟไลน์ สู่ออนไลน์ พร้อมทั้งปรับรูปแบบวัฒนธรรมองค์กรให้มีความเป็นไทย เพื่อเข้าถึงใจพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด รวมทั้งขยายศูนย์กระจายสินค้า (HUB) เพื่อเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในการรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อีกทั้งขยายฐานการตลาดลงพื้นที่ท้องถิ่น (Local Market) เพื่อให้แฟรนไชส์ในแต่ละจังหวัดได้เข้าถึงการทำการตลาดท้องถิ่นของตนเองมากขึ้นตามกระแสการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงยุค New Normal
ส่วนแผนระยะยาว คือ การเตรียมผนึกรวมเครือข่ายของ “เบสท์ เอ็กซ์เพรส (BEST Express)” ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) รวมเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ “BEST Global” พร้อมเน้นการขยายแฟรนไชส์สู่ท้องถิ่น ทั้งนี้ “เบสท์ เอ็กซ์เพรส (BEST Express)” ยังให้การสนับสนุนคู่ค้าพันธมิตรธุรกิจอีคอมเมิร์ซและแฟรนไชน์ท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นอกจากการปรับแผนตั้งรับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค New Normal แล้ว BEST Express ยังร่วมผลักดัน และสนับสนุนกลุ่มผู้ค้าออนไลน์ด้วยบริการ “BEST Express Free Door to Door service - บริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้าน ฟรี ตั้งแต่ชิ้นแรก ไม่จำกัดจำนวนชิ้น” เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกสบายกับผู้ค้าออนไลน์ในประเทศไทย BEST Express พร้อมท้าให้ลองส่งพัสดุกับราคาใหม่ เริ่มต้นที่ 25 บาท (ปกติ 30 บาท) เพียงกดเรียกเจ้าหน้าที่ BEST Express ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้วสัมผัส ผ่าน Line Official Account : @BESTExpressTH ตามลิงก์นี้ http://nav.cx/yKWubHS หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร 02-108-8000