วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2568

กลุ่ม KTIS เปิดปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานปี 2568 คาดได้ผลผลิตอ้อย-น้ำตาลเพิ่มขึ้น 30% ดันรายได้โตเด่นทั้งสายธุรกิจน้ำตาล-ไฟฟ้า-เยื่อกระดาษ




กลุ่ม KTIS เผยข้อมูลการเปิดรับอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตปี 2567/68 จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2568 พบว่า มีอ้อยเข้าหีบมากกว่าปริมาณอ้อยทั้งปีของฤดูการผลิตปี 2566/67 แล้ว และสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากกว่าปีก่อนแล้วด้วย คาดหลังปิดหีบปีนี้น่าจะได้อ้อยและน้ำตาลทรายมากกว่าปีก่อนประมาณ 30% นอกจากนี้ ชานอ้อยที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อสายธุรกิจผลิตไฟฟ้าและเยื่อกระดาษชานอ้อย อีกทั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ก็มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานปี 2568 โตกว่าปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ

นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2567/68 นับจากวันเปิดหีบอ้อย 15 ธันวาคม 2567 จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2568 เป็นระยะเวลาหีบอ้อย 79 วัน พบว่า มีอ้อยเข้าหีบแล้วประมาณ 5.6 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณอ้อยหลังปิดหีบปี 2566/67 ซึ่งมีอ้อยเข้าหีบ 5.0 ล้านตัน และสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้แล้วประมาณ 5.7 ล้านกระสอบ สูงกว่าปริมาณน้ำตาลทรายที่ผลิตได้ในปี 2566/67 ที่ 5.1 ล้านกระสอบ

“ตอนนี้ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทะลุปริมาณของปีก่อนแล้ว คาดว่าหลังปิดหีบอ้อยปีนี้ น่าจะได้ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลผลิตอ้อยที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปริมาณฝนปี 2567 ที่มากกว่าปี 2566 ทำให้ต้นอ้อยได้รับน้ำอย่างเพียงพอและเติบโตได้ดี อีกทั้งสภาพอากาศช่วงที่หนาวเย็นยาวกว่าปีก่อน ทำให้ความหวานของอ้อยดีขึ้นด้วย ยิลด์ในการผลิตน้ำตาลทรายจึงสูงขึ้น” นายสมชายกล่าว

ทั้งนี้ ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของกลุ่ม KTIS ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของการเติบโตของผลผลิตอ้อยทั่วประเทศอีกด้วย สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งเสริมและสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือต่างๆ ให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาของกลุ่ม KTIS เพื่อให้ได้ผลผลิตอ้อยต่อไร่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวไร่อ้อยที่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากการขายน้ำตาล 70% อีก 30% เป็นส่วนแบ่งของโรงงานน้ำตาล

นายสมชายกล่าวด้วยว่า ปริมาณผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อสายธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ เพราะจะมีวัตถุดิบเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้น โดยได้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลมากขึ้น และยังมีชานอ้อยเข้าสู่โรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยมากขึ้นด้วย อีกทั้งโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ก็มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่า ปี 2568 นี้ ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS จะดีขึ้นกว่าปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ