บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น หรือ TRC ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน และเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (PAR) รวมถึงปรับโครงสร้างหนี้โดยแปลงหนี้เป็นทุน พร้อมออกและจัดสรรวอร์แรนท์ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นและจัดสรรแก่บุคคลในวงจำกัด เผยกองทุน LDA Capital Limited พร้อมเข้าลงทุนในบริษัทฯ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและศักยภาพการขยายธุรกิจ ดีเดย์ Record Date 12 พฤศจิกายนนี้ คาดเปิดจองซื้อภายในเดือนธันวาคมนี้ เตรียมนำเงินไปใช้ปรับโครงสร้างธุรกิจ รวมทั้งเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่โปแตชและธุรกิจบริหารจัดการขยะ
นายภาสิต ลี้สกุล ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ผู้ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและออกแบบทางวิศวกรรมงานวางระบบท่อและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงพัฒนาโครงการด้านพลังงาน โรงไฟฟ้า และปิโตรเคมีชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 โดยวาระสำคัญของการประชุม คือ การขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการแปลงหนี้เป็นทุน การเพิ่มทุนจดทะเบียน และการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น (PAR) เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯ ในการชำระหนี้สะสม และนำเงินทุนที่เพิ่มขึ้นไปใช้ในด้านการดำเนินงานต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต โดยได้รับการอนุมัติวาระสำคัญจากผู้ถือหุ้น ดังนี้
1) อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น (PAR) จากเดิมหุ้นละ 0.125 บาท เป็นหุ้นละ 1.50 บาท โดยการรวมมูลค่าหุ้น 12 หุ้นเดิม เป็น 1 หุ้นใหม่ 2) อนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะแปลงหนี้จำนวนไม่เกิน 300 ล้านบาท ให้เป็นทุนโดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (PAR) หุ้นละ 1.50 บาท ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 2.40 บาท ให้แก่กลุ่มเจ้าหนี้การค้าภายใต้โครงการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน 3) อนุมัติให้ออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ (วอร์แรนท์) จำนวนไม่เกิน 252,284,698 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น และเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทฯ ได้ขออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 1,994,424,675 บาทจากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 1,497,991,693.50 บาท ทำให้ทุนจดทะเบียนใหม่รวมเป็นจำนวน 3,492,416,368.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,329,616,450 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.50 บาท (มูลค่าที่ตราไว้ใหม่หลังจากเปลี่ยนแปลง) เพื่อ (1) เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัท มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ (Preferential Public Offering: PPO) (2) เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ได้แก่ กลุ่มเจ้าหนี้การค้าภายใต้โครงการแปลงหนี้เป็นทุน นายพิสิทธิ์ แซ่ลิ้ม และกองทุน LDA Capital Limited (3) รองรับใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 2 และ 3 (4) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)
ทั้งนี้ บริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และคาดว่าจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นเดิมได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ภายในเดือนธันวาคม 2567 ส่วนการซื้อขายหุ้นด้วยมูลค่าที่ตราไว้ (PAR) ใหม่ที่หุ้นละ 1.50 บาทนั้น คาดว่าจะเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถระดมทุนที่ได้จากการทำ PPO จำนวน 685 ล้านบาท และจากการทำ PP อีก จำนวน 857 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสินจำนวน 1,542 ล้านบาท ซึ่งเงินทุนที่ได้จะถูกนำไปใช้ในโครงการสำคัญ ได้แก่ 1) ลงทุนในบริษัท PSEC มูลค่า 300 ล้านบาท 2) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) มูลค่า 300 ล้านบาท และ 3) ชำระหนี้ให้แก่กลุ่มเจ้าหนี้ตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน มูลค่าไม่เกิน 300 ล้านบาท และ 4) ลงทุนในโครงการ APOT มูลค่า 942 ล้านบาท
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRC กล่าวต่อว่า ก้าวใหม่ของ TRC หลังการประชุม EGM 1/2567 จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางธุรกิจใหม่ ผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเริ่มจากการแปลงหนี้เป็นทุน มูลค่าไม่เกิน 300 ล้านบาท ผ่านการออกหุ้น PP และรวมพาร์จากเดิม 0.125 บาทเป็นพาร์ใหม่ 1.50 บาท รวมถึงการเพิ่มทุน PPO และออกหุ้น PP ซึ่งหลังจากนั้น กองทุน LDA Capital จะเข้ามาลงทุนกับทางบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่เกิน 20% ถือเป็นอีกแรงที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงการเหมืองแร่โปแตชที่จังหวัดชัยภูมิ (APOT) ไม่เพียงเป็นการบุกเบิกในอดีต แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่การเทิร์นอะราวด์ในปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่โลกกำลังให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่เรายังคงรักษาความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายการดำเนินงานไปสู่การรีไซเคิลพลาสติกและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีจากเศษอาหาร (PSEC) ซึ่งมีอัตราการทำกำไรที่แข็งแกร่งราว 50% ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้บริษัทฯ
“การเปลี่ยนแปลงของ TRC ในปี 2568 จะดำเนินธุรกิจภายใต้วิชั่น “Recurring Green Income” ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัทฯ ที่จะมุ่งสู่ความสำเร็จในเส้นทางธุรกิจใหม่ซึ่งจะเน้นการสนับสนุนสิ่งแวดล้อม ผสานรวมกับความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมของ TRC เพื่อมุ่งสร้างรายได้ที่ยั่งยืนในระยะยาว ” นายภาสิต กล่าว