วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2567

NEO มุ่งสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ชู ‘บีไนซ์’ โมเดลต้นแบบบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วางเป้าหมายปี 2568 ใช้นวัตกรรมการผลิต rHDPE 30% ลดใช้ Virgin Plastic 80 ตันต่อปี




‘บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)’ หรือ NEO ร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่มั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม เปิดโมเดลผลิตภัณฑ์ “บีไนซ์” นำทัพใช้บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านนวัตกรรมการผลิต rHDPE วางเป้าหมายภายในปี 2568 บรรจุภัณฑ์ครึ่งหนึ่งจะมาจากวัสดุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล 30% ช่วยลดปริมาณการใช้ Virgin Plastic มากกว่า 80 ตันต่อปี ผุดโปรเจกต์วิจัยและพัฒนาระยะยาว ปั้นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกเต็มรูปแบบ ชูการดีไซน์ทันสมัยลดการใช้พลาสติกทุกมิติ

นางสาวณิชมน ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายนวัตกรรมธุรกิจ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ หรือ NEO) ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ขยะพลาสติกถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย โดยปี 2565 ปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวคิดเป็นสัดส่วน 11% ของปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือ 2.83 ล้านตันต่อปี โดยมีการนำขยะพลาสติกกลับไปใช้ประโยชน์ซ้ำเพียงร้อยละ 25 หรือประมาณ 0.71 ล้านตัน (รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2565, 2566) ดังนั้น NEO ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ด้วยพันธกิจ ESG พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสุขภาพ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค รวมทั้งการนำเสนอเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบด้านทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม จึงมีความมุ่งมั่นร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ทั้งนี้จากปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ได้นำ “บีไนซ์” (BeNice) ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิว หนึ่งในแบรนด์กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) เป็นโมเดลต้นแบบขับเคลื่อนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินการปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ตั้งแต่ต้นปี 2562 รวมทั้งสิ้น 25 รายการ (SKUs) ผ่านนวัตกรรมการผลิต rHDPE (Recycled High-Density Polyethylene) หรือการนำขวดพลาสติกใช้แล้วนำกลับมารีไซเคิล ประกอบด้วย 1.ลดการใช้ทรัพยากรใหม่: rHDPE ใช้พลาสติกที่ใช้แล้วนำมารีไซเคิลผลิตใหม่ ช่วยลดความต้องการใช้พลาสติกบริสุทธิ์และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 2. ลดปริมาณขยะพลาสติก: การใช้ rHDPE ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องถูกนำไปกำจัด ทั้งในรูปแบบการฝังกลบและการเผา 3.ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: กระบวนการผลิต rHDPE ใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตพลาสติกบริสุทธิ์ ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง

และ 4.ความทนทานและประสิทธิภาพ: rHDPE มีความทนทานสูงและสามารถใช้ในผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น ขวดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับ HDPE บริสุทธิ์ โดยตั้งแต่ปี 2563-2566 บริษัทฯ สามารถลดการใช้ Virgin plastic รวมทั้งหมด 211.40 ตัน หรือประมาณ 80 ตันต่อปี และคิดเป็นปริมาณคาร์บอนเทียบเท่า 1673.19 ตัน โดยวางแผนจะติดสัญลักษณ์ในฉลากบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ไตรมาสแรก ปี 2568 เพื่อระบุว่าผลิตภัณฑ์นี้ช่วยลดการใช้พลาสติกและสร้างการรับรู้และรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

NEO ตั้งเป้าหมายให้ผลิตภัณฑ์ บีไนซ์ (BeNice) เป็นโมเดลต้นแบบขับเคลื่อนนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “Innovation from Core to Care - คิดดีเพื่อโลก นวัตกรรมดีเพื่อคุณ” โดยวางเป้าหมายว่าบีไนซ์ (BeNice) จะใช้บรรจุภัณฑ์ครึ่งหนึ่งจากวัสดุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล 30% ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้พลาสติกบริสุทธิ์หรือพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว (Virgin Plastic) เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 80 ตันต่อปีภายในปี 2568

“เรามีแบรนด์สินค้า 8 แบรนด์ พร้อมขยายผลสู่บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแผนระยะยาว มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม เพราะ NEO เชื่อว่าจะสร้างโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากให้กับทุกคน โดยจะพัฒนาบรรจุภัณฑ์ครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การดีไซน์โครงสร้างของตัวบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลาสติกอย่างคุ้มค่า เพิ่มความแข็งแรง และให้สามารถลดของเสียในไลน์การผลิตและบรรจุ รวมถึงเพิ่มจำนวนต่อการขนส่งสินค้าต่อรอบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งได้นำนวัตกรรมสำหรับฝาของบรรจุภัณฑ์ขนาด 80, 170 มล. เปลี่ยนมาใช้ระบบ Bi-injection เพื่อลดการใช้สี ช่วยให้ระบบการรีไซเคิลมีความสมบูรณ์มากขึ้น สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดีขึ้น เพื่อมุ่งสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างสรรค์อนาคตที่มั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม” นางสาวณิชมน กล่าว