วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2567

‘บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์’ เคาะราคาขายสุดท้ายหุ้น IPO ที่ 2.28 บาทต่อหุ้น ปลื้มนักลงทุนรายย่อยจองซื้อคึกคักและสถาบันแสดงความต้องการจองล้น คาดพร้อมเข้าเทรด ก.ย.นี้


‘บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์’ หรือ PCE เคาะราคาขายสุดท้าย IPO ที่ 2.28 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย หลังนักลงทุนรายย่อยตอบรับดีเยี่ยมและนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อหุ้น IPO คึกคัก เตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนกันยายนนี้ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “PCE” เดินหน้าลงทุนขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม และขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีน รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทุกภาคส่วนทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ก้าวสู่ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มครบวงจรระดับประเทศ

นางสาวนลิน วิริยะเสถียร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า หลังจากที่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ได้ประกาศช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 2.08-2.28 บาทต่อหุ้นและเริ่มเสนอขายแก่นักลงทุนรายย่อยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม และวันที่ 2-3 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมจากนักลงทุนรายย่อยจองซื้อกันอย่างคึกคัก และนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์ม ล่าสุดจึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) หุ้น IPO ที่ราคา 2.28 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนกันยายนนี้ ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “PCE”

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวต่อว่า การกำหนดราคาหุ้น IPO ของ PCE ที่ราคา 2.28 บาทต่อหุ้น ถือเป็นราคาที่เหมาะสมกับความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรของไทย พร้อมทั้งการมีระบบการจัดการซัพพลายเชนเป็นของตนเอง (Supply Chain) ที่พร้อมจะรองรับการเติบโตจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในทุกภาคส่วนทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก ซึ่งจะทำให้ PCE สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว โดย PCE มีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุน ไปใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ลงทุนขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพิ่มเสถียรภาพในการจัดหาวัตถุดิบน้ำมันปาล์มดิบ รวมทั้งลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อใช้ในการบริโภค นอกจากนี้ยังยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า PCE ถือเป็นหุ้นที่มีจุดเด่นต่างจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มรายอื่น เนื่องจากเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ครอบคลุมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มดิบ โรงผลิตน้ำมันไบโอดีเซล โรงผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค โรงไฟฟ้าก๊าซชีวมวล รวมทั้งการให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถและทางเรือ นอกจากนี้ ยังมีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน ที่เสริมสร้างและสนับสนุนกันในแต่ละธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบและการผลิต การขาย และโลจิสติกส์ เพื่อส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างครบครัน อีกทั้งยังเป็นผู้นำการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบระดับประเทศ จึงมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรในระดับประเทศ

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE กล่าวว่า จากภาพรวมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2567-2569) มีทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากกำลังซื้อภายในประเทศ และความต้องการใช้ในต่างประเทศ โดยมาจากการบริโภคและอุปโภค ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มพลังงานทดแทนที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการใช้โอเลโอเคมิคอลเพื่อเป็นส่วนประกอบในสินค้า เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ครีมบำรุงผิว เป็นต้น ตลอดจนอุตสาหกรรมน้ำมันไบโอดีเซล เป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างการเติบโตเพื่อขยายตลาดในทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและตลาดส่งออก ตลอดจนเห็นโอกาสในการต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างโอกาสในตลาดใหม่ๆ จึงได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวต่อไป