พร้อม EBITDA Margin สูงกว่า 50% ลุ้น All Time High เดินหน้าสู่ความเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“WHA Group”) มั่นใจ ผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง รายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัทฯ ทะลุ 15,000 ล้านบาท อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจัดหน่าย (EBITDA) สูงกว่า 50% เดินหน้าสู่ความเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เสริมสร้างศักยภาพ และขอบข่ายบริการโมบิลิกส์ (Mobilix) ธุรกิจโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ นับเป็นการปฏิวัติการขนส่งสู่ความยั่งยืนด้วยระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร โครงการพลังงานหมุนเวียน การนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในทุกมิติ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ตลอดจนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้าง สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาประเทศ
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิศทางธุรกิจภาครวมในช่วงไตรมาส 4 และภาพรวมครึ่งหลังปี 2567 ของเรามีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ด้วยการมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์และพัฒนาแนวทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตและลงทุนสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ รวมถึงการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ WHA Group ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของการปฏิวัติองค์กรด้วยการก้าวสู่การเป็น Tech & Sustainable Company เต็มรูปแบบ จากจุดเริ่มต้นในปีพ.ศ. 2564 ที่ได้ริเริ่มโครงการ Digital Transformation สร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งนวัตกรรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เสริมศักยภาพธุรกิจให้ก้าวขึ้นเหนือคู่แข่ง จากนั้นได้พัฒนาสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล พร้อมวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) ในทุกมิติภายในปี 2568”
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของ 2567 ของ 4 กลุ่มธุรกิจหลัก มีรายละเอียดดังนี้
- ธุรกิจโลจิสติกส์ กลยุทธ์การดำเนินงานยังคงมุ่งขยายธุรกิจทั้งในประเทศ โดยขยายจากกรุงเทพฯ สมุทรปราการปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่วนในต่างประเทศมุ่งเน้นการขยายในประเทศเวียดนาม ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต
สำหรับเป้าหมายในปี 2567 ตั้งเป้าหมายพื้นที่ให้เช่าใหม่ และสัญญาเช่าใหม่รวม 200,000 ตารางเมตร โดยมุ่งเน้นคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit คาดว่าครึ่งปีหลัง จะส่งมอบพื้นที่ให้เช่าใหม่มากกว่า 140,000 ตร.ม. โดยมีสัญญาเช่าคลังสินค้าแบบ Built to Suit และแบบสำเร็จรูปกว่า 105,000 ตร.ม. จากลูกค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสุขภาพ และ 35,000 ตารางเมตรจากโครงการแรกในจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) ประเทศเวียดนาม ผ่านความร่วมมือกับไดวะเฮาส์ (Daiwa House) และมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHAIR รวมทั้งสิ้นประมาณ 40,172 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,065 ล้านบาท นอกจากนี้ การเปิดตัว โมบิลิกส์ (Mobilix) โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรครั้งแรกของไทย ประกอบด้วย 3 บริการหลัก คือให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) โดยมีแผนดำเนินธุรกิจตาม 4 กลยุทธ์หลักคือพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจ (Develop Partnership) ขยายช่องทางการขาย (Expand Sale Channels) การเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ (Launch New Products) และนำเสนอข้อเสนอทางการค้าใหม่ๆ (Provide New Commercial Offerings) โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าและหางลากให้เช่าเป็น 1,000 คัน ภายในสิ้นปี 2567 อีกด้วย
- ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม แนวโน้มความต้องการที่ดินจากภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งส่งผลให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มประมาณการขายที่ดินจากเป้าหมายเดิมที่ 2,275 ไร่ เป็น 2,500 ไร่ โดยมูลค่าสัญญาขายที่ดินคาดว่าจะเติบโต 18 % เมื่อเทียบกับปีก่อน และครึ่งหลังปี 2567 มีเป้าหมายที่จะขายที่ดินมากกว่า 1,400 ไร่
โดยยอดขายที่ดินจากประเทศไทยจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากในเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาที่ดินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปี 2568 หลังจากที่มียอดขายที่ดินสูงเกินคาดในปี 2566 นอกจากยอดขายที่แข็งแกร่งแล้วบริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรม โดยวางแผนเพิ่มที่ดินอุตสาหกรรมเกือบ 10,000 ไร่ ในประเทศไทย เข้าสู่พอร์ตโฟลิโอในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 6 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ 4 แห่ง และขยายพื้นที่โครงการเดิมอีก 2 แห่ง
สำหรับโครงการในเวียดนามยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 2 – เหงะอาน (WHA Industrial Zone 2 – Nghe An) คาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตสำหรับเฟส 1 ของโครงการ บนพื้นที่ 1,200 ไร่ ภายในสิ้นปีนี้ และ WHA Smart Technology Industrial Zone 1 ในจังหวัดทาญฮว้าจะเริ่มก่อสร้างภายในสิ้นปี 2567 ในขณะที่ WHA Smart Technology Industrial Zone 2 ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน มีเป้าหมายที่จะได้รับใบรับรองการลงทุน (IRC: Investment Registration Certificate) ภายในสิ้นปีนี้เช่นเดียวกัน
- ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มุ่งแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ ๆ นอกเหนือจากในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA มุ่งเน้นขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added Water) อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และขยายการลงทุนโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ในเวียดนาม ตลอดจนพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น
สำหรับการเติบโตในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร จากความต้องการน้ำที่มากขึ้นของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และปริมาณน้ำมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของน้ำในประเทศเวียดนามที่มีการเติบโตอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากโรงงานของลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน (WHA Industrial Zone 1 Nghe AN) เริ่มดำเนินการ และนอกจากนั้นในปี 2567 ได้ลงนามในสัญญาน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC จำนวน 3.5 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และสัญญาขายน้ำประปาให้แก่การประปาส่วนภูมิภาคอีก 2.6 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี โดยทั้ง 2 สัญญาจะเริ่มมีการรับรู้รายได้ภายใน ครึ่งปีหลังของปี 2567 ทันที
- ธุรกิจไฟฟ้า ยังคงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานสะอาด 472 เมกะวัตต์ โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof Top) 283 เมกะวัตต์ และบริษัทฯได้มุ่งต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดผ่านการพัฒนานวัตกรรมและ โซลูชันด้านพลังงานใหม่ๆ อาทิ การเปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งสอดรับกับแผนการลงทุนใน โมบิลิกส์ (Mobilix) โดยมีเป้าหมายที่จะมีชาร์จเจอร์ 120 ตัว ในปีนี้ รวมถึงสถานีชาร์จที่ใหญ่ที่สุดในประเทศขนาดกำลังติดตั้ง 5,400 กิโลวัตต์ รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS: Battery Energy Storge System) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการ กักเก็บคาร์บอน (CCUS: Carbon Capture Utilization and Storage) เป็นต้น
- ธุรกิจดิจิทัล ยกระดับองค์กรในทุกมิติเพื่อบรรลุเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 และเตรียมพร้อมสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) ในปี 2568 มุ่งส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจใน WHA Group และสร้างรายได้จากการให้บริการแพล็ตฟอร์มดิจิทัลใหม่ ๆ ควบคู่กับการพัฒนาความเชี่ยวชาญของทีมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยตัวอย่างโครงการสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่ โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ที่เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้าและแบตเตอรี่ WHAbit แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการด้านสุขภาพแบบครบวงจร WHASApp: Super App ที่รวบรวมบริการครบวงจรให้แก่ลูกค้าของ WHA รวบรวมข้อมูลการใช้งานสาธารณูปโภคและพลังงานแบบเรียลไทม์ไว้ในที่เดียว เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังยกระดับประสิทธิภาพองค์กรด้วย AI อย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นด้วยเทคโนโลยี AI จำนวน 12 โครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ เช่น Solar Anomaly Detection ตรวจจับปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผงโซลาร์เพื่อการดูแลรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ Solar Forecasting ประเมินและคาดการณ์ปริมาณแสงแดดล่วงหน้า เพื่อการวางแผนเพิ่มปริมาณการผลิตพลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ RO Performance Forecasting ใช้ Data Analytics ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการสูญเสีย และสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
“ปี 2567 เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกมิติของการดำเนินงานเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ ด้วยรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์ WE SHAPE THE FUTURE ที่ชัดเจน พร้อมการเป็น Tech and Sustainable Company เพื่อก้าวสู่การเป็น Tech-Driven Organization ในปีหน้า เรายังคงเดินหน้าสู่อนาคตพร้อมกับเป้าหมายใหม่ ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและภูมิภาคอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” คุณจรีพรกล่าว