วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

6 สไตล์เลี้ยงลูกแบบฉบับคุณแม่เซเลบ ตามธรรมชาติของลูกน้อยให้เอ็นจอยไปด้วยกัน สไตล์ไหนๆก็ไม่มีผิดไม่มีถูก


เมื่อเข้าสู่เดือนของวันแม่ หลาย ๆ คนก็มักนึกย้อนไปถึงความเสียสละความสุขของคนเป็นแม่เพื่อทุ่มเทให้กับการดูแลลูก โดยเฉพาะเมื่อลูกยังอยู่ในวัยแบเบาะหรือยังไม่เข้าโรงเรียน จากผลสำรวจล่าสุดของ ASIANPARENT* ในกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่พบว่า 94% ของคุณแม่คนไทยรู้สึกไม่มั่นใจในสัญชาตญาณการเลี้ยงลูกของตนเอง ส่วนอีก 83% มีความเครียดและวิตกกังวลเรื่องการเลี้ยงลูก 

แต่สำหรับเบบี้มายด์ (Babimild) นั้นเชื่อว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่นั้นสำคัญ เพราะแม่จะรู้จักธรรมชาติของลูกน้อยดีที่สุดรู้ว่าอะไรที่เวิร์คที่สุดสำหรับลูกแต่ละคน รวมทั้งไลฟ์สไตล์ของคุณแม่เอง ที่ไม่มีแบบไหนผิดหรือถูก เบบี้มายด์อยากสนับสนุนให้คุณแม่ทุกคนเลี้ยงลูกอยากมีความสุขที่สุด แบบที่เป็นธรรมชาติของตัวเองที่สุด เพราะการมีลูกไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเสียสละความสุขในการใช้ชีวิตของคนเป็นแม่ ในเมื่อลูกคือของขวัญของพ่อแม่ทุกคน เนื่องในโอกาสวันแม่ เบบี้มายด์จึงรวบรวมแรงบัลดาลใจในการเลี้ยงลูก 6 สไตล์ จาก 6 คุณแม่เซเลบริตี้ที่มาร่วมงานเสวนาเบบี้มายด์ในหัวข้อ “ ผิดหรือถูก เลี้ยงลูกแบบไหน เสริมพัฒนาการลูกดีที่สุด?” ที่พร้อมจะเผยถึงการใช้ชีวิตในแบบฉบับคุณแม่มือใหม่ที่สามารถสร้างไลฟ์สไตล์ให้มีความสุขไปพร้อมกับคุณลูกอย่างลงตัว


คุณแม่สายแต่งตัว: คุณเปเป้-วาริธร กันท์ไพบูลย์ เจ้าของแบรนด์ Varinthorn ที่ผสมผสานบทบาทคุณแม่และแฟชั่นดีไซเนอร์อย่างลงตัวโดยนำแรงบันดาลใจจากลูกสาว น้องไอรา พิพัฒนชูเกียริต์ วัย 5 เดือน มาต่อยอดเป็นไลน์เสื้อผ้า Varinthorn Kids 

“ตั้งแต่ตอนท้องลูกสาว เปเป้ก็ดีใจมากเนื่องจากตัวเองเป็นคนชอบแต่งตัวและก็ทำแบรนด์แฟชั่น Varinthorn ด้วย บางคนพอมีลูกแล้วก็ตัดสินใจที่จะเลิกทำงานมาเป็นคุณแม่ดูแลลูกเต็มตัว แต่ของเปเป้กลับกลายเป็นว่าพอท้องน้องไอรายิ่งกลายเป็นมีแรงบันดาลใจเป็น Inspiration มาต่อยอดเป็นไลน์เสื้อผ้าเด็ก Varinthorn Kids โดยดึงตัวตนของ Varinthron มาใส่ดีเทลความน่ารัก บริสุทธิ์ แต่ในแต่ละแบบก็จะมีดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับ Varinthorn เพื่อให้คุณแม่และคุณลูกสามารถใส่เข้าคู่กันได้อย่างน่ารัก สรุปว่ายิ่งพอมีลูกยิ่งทำให้เราหาไอเดียในการสร้างสรรค์งานของเราได้กว้างมากขึ้น ทั้งนี้เปเป้ก็ได้ยินกระแสในสังคมพูดเหมือนกันว่าทำไมแม่สมัยนี้แต่งตัวให้ลูกเยอะจังเลย แต่ในมุมมองเปเป้เห็นว่าถ้าก่อนที่จะมีลูกเราชอบเรื่องแฟชั่นเรื่องการแต่งตัว พอมีลูกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดตามแบบแผนคุณแม่ เพราะจะทำให้เราหดหู่หรือสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ตรงกันข้ามพอเราได้แต่งตัวให้เข้ากันคุณแม่คุณลูกก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกสนุกกับการเลี้ยงลูก โตมากลับมาดูภาพเก่า ๆ ก็น่าจะเป็นความทรงจำที่น่ารักและประทับใจค่ะ”

คุณแม่สายฟิตแอนด์เฟิร์ม: คุณเชอรี่-ชาลียา พสวงศ์ สะใภ้และผู้บริหารห้างทองฮั่วเซ่งเฮงที่ยังไม่ทิ้งความเป็นคุณแม่สายฟิตด้วยการรักษาหุ่นเฟิร์มอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการเลี้ยงน้องธรรม- ยศภัทร พสวงศ์

“จริง ๆ ค่อนข้างชิลล์ เพราะตั้งแต่ท้องคุณหมอก็บอกว่าอย่ากังวลอย่าคิดเยอะ วิธีการเลี้ยงลูกมักจะปลูกฝังด้วยเหตุผล ถ้ายิ่งดุยิ่งว่าเขายิ่งไม่ทำตาม ส่วนสไตล์การเลี้ยงลูกนั้นเชอรี่เชื่อว่าพอเราเป็นแม่ร่างกายและสัญชาตญาณเราก็จะปรับอัตโนมัติให้มีความเป็นแม่อยู่แล้ว เช่น แต่ก่อนเชอรี่ไม่ตื่นเช้าเลยตอนนี้กลายเป็นตื่นเช้าเพื่อมาทำอาหารให้ลูก ดังนั้นอีกด้านหนึ่งของชีวิตเชอรี่เลยยังให้ความสำคัญกับการบาลานซ์เวลาให้สมดุลและลงตัว การเป็นแม่ไม่ต้องสูญเสียชีวิตของตัวเอง ดังนั้นทุกวันนี้เชอรี่ยังออกกำลังกายไม่ว่าจะโยคะ เทนนิส ต่อยมวย แบบที่ตัวเองชอบตั้งแต่ก่อนจะท้องน้องธรรม เพราะการออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟีนหรือสารแห่งความสุข ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าตัวเราได้ทำกิจกรรมที่เราชอบและมีความสุขก็จะลดความเครียด แล้วพลังงานบวกจากตัวเราก็จะส่งถึงลูกได้แน่ๆ เพราะเด็กเล็ก ๆ นี่จะไวต่อความรู้สึกของคนรอบข้างมาก สังเกตได้ว่าถ้าเราอารมณ์ดีลูกก็จะอารมณ์ดีด้วย ส่วนในอนาคตเชอรี่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าน้องธรรมจะต้องชอบออกกำลังแบบเราหรืออะไร เพียงแต่ก็ตั้งใจจะปลูกฝังว่าการออกกำลังกายทำให้สุขภาพดีตั้งแต่เด็กค่ะ”

คุณแม่สายท่องเที่ยวและกิจกรรม: คุณหมอขวัญ-ทพญ.พิชชุดา ทัพภะทัต คุณแม่ที่ขยันพาน้องชาโตว์ ชวณัฐ ทัพภะทัต ไปท่องเที่ยวพบปะผู้คนด้วยความเชื่อในการเรียนรู้ผ่านโลกกว้าง

“ขวัญชอบพาชาโตว์ไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ซึ่งหลายคนอาจจะกลัวว่าพาลูกเล็กขึ้นเครื่องบินแล้วจะมีปัญหาหรือยุ่งยากหรือไม่ ตอนแรกขวัญก็กลัวอย่างนั้น แต่ว่าเนื่องจากทั้งขวัญและพี่ปืนเป็นคนที่ชอบเที่ยวต่างประเทศในประเทศตั้งแต่ยังไม่มีน้องชาโตว์ พอมีแล้วก็ไม่อยากจะไปกัน 2 คนทิ้งลูกไว้แล้วก็คิดว่าจริง ๆ ถ้าเราพาเขาไปด้วยกันได้ตั้งแต่ยังเล็กก็เหมือนเราได้ไปสร้างความทรงจำด้วยกัน อย่างพี่ปืนทำงานเยอะพอได้ไปเที่ยวกับลูกและครอบครัวก็ช่วยสร้างความผูกพันมากขึ้นด้วยเพราะเวลาอยู่เมืองไทยขวัญก็จะดูชาโตว์เป็นหลัก ซึ่งพอเราลองพาน้องชาโตว์ขึ้นเครื่องบินแล้วเริ่มชิน ชาโตว์กลับกลายเป็นสนุกกับการเดินทาง ไม่ดื้อไม่ร้อง และดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่เราก็อาจจะต้องปรับแพลนการเดินทาง เลือกสถานที่เที่ยวให้ไม่แอดเวนเจอร์เกินไปเหมาะกับวัยลูกเรา นอกจากนี้เวลาขวัญไปงานอีเวนท์หลาย ๆ ครั้งถ้าเจ้าของงานอนุญาตก็จะพาชาโตว์ไปด้วย เพราะเป็นโอกาสให้ชาโตว์ได้พบปะผู้คน ซึ่งทำให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตหลายๆ ด้าน เช่น การเข้าสังคม เมื่อเจอคนเยอะๆ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นจะได้ไม่ตื่นคน รวมทั้งพาไปกิจกรรม outdoor ไปวิ่งเล่นในสวน ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ซึ่งเป็นทักษะการใช้ชีวิตที่จะทำให้ลูกช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อออกไปใช้ชีวิตในสังคมเมื่อโตขึ้น คือพอเราให้เขาลองทำหลายๆ อย่าง และสังเกตบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าเขามีความสุขกับอะไร จดจ่อกับอะไรได้นาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัญชาตญานความเป็นแม่ของตัวเองได้มากขึ้น เพราะขวัญเชื่อว่าเราเข้าใจลูกของเราดีที่สุดนอกเหนือจากความห่วงใย ความทุ่มเทที่มีให้เสมอ”

คุณแม่สายโซเชี่ยลมีเดีย: คุณอุ๊-เจนนิส (โสภณพนิช) ยังพิชิต คุณแม่คนสวยที่เลี้ยงฝาแฝด “น้องจาณีน (โสภณพนิช) ยังพิชิต” และ “น้องเจส-เจตจรฏ (โสภณพนิช) ยังพิชิต” แบบไม่ปิดกั้นความสุขและความรู้จากโลกออนไลน์

“ชอบมีคนถามเคล็ดลับการเลี้ยงลูกจากอุ๊ อยากบอกว่าถึงอุ๊บอกก็ต้องเอาไปปรับอยู่ดี อย่างตอนท้องลูกแฝดนี่กังวลมากบอกเพื่อนๆว่าต้องมาช่วยเลี้ยง แต่พอคลอดแล้วกลับกลายเป็นว่าอุ๊เชื่อในเซนส์ของตัวเอง 80 เปอร์เซนต์เลย มีแค่ 20 เปอร์เซนต์ที่อาจจะอ่านตำราหรือมีคนแนะนำบ้าง อย่างเรื่องการดูทีวีดูYouTube ที่พ่อแม่บางท่านอาจจะเชื่อว่าไม่ควรให้ลูกดู แต่จากประสบการณ์อุ๊เองเห็นว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่สามารถจำกัดตามความเหมาะสมได้ทั้งเรื่องเนื้อหาและเวลาที่ดูพวกนี้กลับกลายเป็นเสริมพัฒนาการให้น้องจาณีนและน้องเจสได้มาก อย่างสถานที่ต่างๆที่เค้าไม่สามารถไปได้ในวัยนี้หรือสัตว์ต่างๆก็จะได้เห็นว่าเค้าเคลื่อนไหวอย่างไรกินอย่างไรไม่ใช่เห็นแค่ภาพนิ่งๆ ทำให้ความคิดเขากว้างไกลขึ้นเห็นโลกในความเป็นจริงมากขึ้น รวมทั้งอุ๊ยังชอบหาคลิปเพลงสำหรับเด็กที่สนุกน่ารักแต่สอดแทรกความรู้ในเพลงซึ่งก็ช่วยทั้งเรื่องความรู้และได้ออกกำลังกายเต้นตามทำให้ลูกๆมีความสุขอารมณ์ดี และมีความกล้าแสดงออกเหมือนที่เห็นจากคลิปในอินสตาแกรม @jannis_s #janinejess ค่ะ อย่างไรก็ตามคุณแม่ก็ต้องไปปรับใช้ตามธรรมชาติของลูกตัวเองนะคะ เพราะจะเลี้ยงแบบไหนก็ไม่มีผิดไม่มีถูกขึ้นกับธรรมชาติของลูกเราค่ะ”

คุณแม่สายทุ่ม(เวลา): คุณนอร์ท-พรพิมล ธรรมวัฒนะ ภรรยาคนสวยทายาทตลาดยิ่งเจริญที่เชื่อมั่นในการให้เวลาลูกอย่างเต็มที่จึงออกจากการเป็นแอร์โฮสเตสมาเลี้ยงน้องเชอลีนน์ เกตุฉัตรา ธรรมวัฒนะ วัย 2 ขวบ 3 เดือนอย่างเต็มตัว 

“พอแต่งงานกับคุณเดียร์ (แทนทอง ธรรมวัฒนะ) ก็ลาออกจากการเป็นแอร์โฮสเตส ยิ่งพอมีน้องเชอลีนน์ก็รู้สึกว่ายังไม่อยากกลับไปทำงานเพราะอยากจะให้เวลากับลูกให้เต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนที่จะถึงวัยเข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะพาไปว่ายน้ำ เข้ากิจกรรมกลุ่มเพื่อเรียนรู้การเข้าสังคม สอนทักษะการช่วยเหลือตัวเองต่าง ๆ เช่นใส่รองเท้า กินข้าว แต่งตัว ซึ่งพอลูกเห็นว่าแม่แฮ๊ปปี้กับสิ่งที่เขาทำได้ เขาก็ชอบและรู้สึกสนุกที่ได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้นอร์ทยังเชื่อว่าการให้เวลาลูกเต็มที่ยังช่วยทำเราเรียนรู้ว่าเขาชอบทำอะไร โดยตอนนี้นอร์ทสังเกตว่าน้องชอบเล่นบล็อกไม้ เวลาเล่นจะมีสมาธิจดจ่อมาก ทั้งนี้ความกังวลต่าง ๆของคนเป็นแม่เป็นเรื่องปกติ นอร์ทเชื่อในสัญชาติญานความเป็นแม่ แต่เราก็เพิ่งมีลูกคนแรกเลยยังหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตบ้างเพื่อติดตามนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งที่สุดแล้วเราก็ไม่รู้ว่าทำได้ถูกต้อง 100% หรือไม่ แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุด ดูแลลูกเราให้ดีที่สุดตามธรรมชาติของน้องเชอลีนน์”

คุณแม่สายวิชาการ: คุณพิม-พิมพ์ภัทร ยมนาค วงศ์ประศาสตร์ คุณแม่ที่หยิบยกประสบการณ์ที่คลุกคลีเด็กจากเป็นรองผู้อำนวยการและทายาทผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ Bangkok Prep International School มาเลี้ยงน้องพิพพา วงศ์ประศาสตร์ วัย 2 ขวบ

“พิมเลี้ยงน้องพิพพาแบบไม่ได้เครียดมากเพราะด้วยความที่ทำงานโรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep เลยทำให้เรามองเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เช่น เวลาลูกร้องไห้เมื่อไปโรงเรียนวันแรก อีกทั้งพิมยังเป็นคุณแม่ทำงานเต็มเวลา เลยยิ่งต้องรู้จักปล่อยวาง บางเรื่องพี่เลี้ยงช่วยดูได้ซึ่งตัวเองไม่จำเป็นต้องลงทุกรายละเอียด แต่เรื่องความปลอดภัยของลูกพิมใส่ใจเต็มที่ เช่น ทำราวกันตก เพื่อให้เราสบายใจและโฟกัสกับงานได้เต็มที่ ส่วนการที่เราไม่มีเวลาจะอยู่กับเขาตลอดก็จะให้เริ่มไปโรงเรียนเตรียมอนุบาลเร็วหน่อยเพื่อได้ไปพบปะเพื่อนๆและเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่ใช่อยู่กับพี่เลี้ยงทั้งวัน เมื่อว่างก็จะใช้เวลากับเขาเยอะๆอ่านหนังสือให้ฟัง ถ้ามีเวลาหน่อยก็จะทำsensory play ให้เล่น ซึ่งจะช่วยฝึกกล้ามเนื้อและกระตุ้นประสาทสัมผัส และการใช้กล้ามเนื้อมือ ซึ่งของเล่นพวกนี้ทำเองได้ง่ายๆ เช่น DIY จากเจลลี่หรือแป้งข้าวโพดผสมน้ำเย็น””

จะเลี้ยงลูกสไตล์ไหนก็ไม่มีผิดไม่มีถูก สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เข้าใจธรรมชาติของลูกแต่ละคนดีที่สุดจะบอกเองว่าสิ่งใดคือความสุขที่ลงตัวของคุณแม่และคุณลูก ร่วมติดตามแรงบันดาลใจที่จะลดความกดดันต่อคุณแม่มือใหม่ในการเลี้ยงลูกในแบบฉบับของตนเอง พร้อมกิจกรรมสำหรับคุณแม่รุ่นใหม่ได้ ได้ที่ www.facebook.com/BabiMildTH/ หรือทางอินสตาแกรมแฮชแทค #babimild #ธรรมชาติดีที่สุด #ไม่มีผิดไม่มีถูก

*การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยเบบี้มายด์ เป็นการสำรวจออนไลน์ในกลุ่มคุณแม่คนไทยอายุ 25-43 ปีจำนวน 400 คนที่มีลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี โดยบริษัท ทิคเคิลด์ มีเดีย จำกัด เป็นผู้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-21 มิถุนายน 2560

ดูอัลบั้มภาพได้ ที่นี่